อาชีพ ของ ไชอา เลอบัฟ

ดาราตลก

เลอบัฟแต่งโครงเรื่อง นิยาย ในช่วงวัยเด็กของเขาและฝึกการแสดงสแตนด์อัพคอเมดี โดยแสดงให้เพื่อนบ้านของเขาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรในละแวดนั้น[13][ลิงก์เสีย] เขาเริ่มแสดงสแตนอัพคอเมดี และเล่าเรื่องสัปดน ที่คลับตลกหลายแห่ง (รวมถึงดิไอซ์เฮาส์ ในพาซาดีนาด้วย) เมื่ออายุ 10 ปี เลอบัฟเล่าว่าเขาใช้มุขตลก "สัปดนที่น่าขยะแขยง" ของผู้ใหญ่อายุ 50 ปี ออกจากปากเด็กอายุ 10 ขวบ[24][22] เอเย่นต์ให้งานเลอบัฟ หลังจากที่เลอบัฟเองหาเบอร์โทรศัพท์จากสมุดหน้าเหลืองแล้วโทรไปหาเอเย่นต์แสร้งทำเป็นผู้จัดการของเขาเอง เนื่องจากตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ และเอเย่นต์ก็รู้ว่าคนโทรมาคือเด็ก และก็พูดว่า "เธอไม่เคยมีเด็กพยายามขายตัวเองมาก่อน"[13][25]

ช่วงแรก (1996–2006)

เลอบัฟเคยบอกว่าตอนแรกที่ก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงเพราะครอบครัวเขาแตกแยก ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเป็นนักแสดง[24][ลิงก์เสีย] เขามีชื่อเสียงในหมู่ผู้ชมวัยรุ่นหลังจากเล่นในรายการตลกประจำสัปดาห์ในช่องดิสนีย์ ในบทหลุยส์ สตีเวนส์ ที่ชื่อ Even Stevens เป็นบทบาทที่เขารับเล่นหลังจากเซ็นสัญญากับเอเย่นต์ เลอบัฟยังมีส่วนในรายการของช่องดิสนีย์ฮิตอีกที่ชื่อ Tru Confessions ได้รับบทที่ท้าทาย เป็นเด็กที่มีพี่สาวที่กำลังทำสารคดีเกี่ยวกับความพิการของน้องชาย[13][ลิงก์เสีย] เป็นช่วงเดียวกับที่พ่อของเขาออกมาจากสถานบำบัดยาเสพติด และได้กลับมาอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเลอบัฟอีกครั้ง[26] เลอบัฟได้รับรางวัลเดย์ไทม์เอมมีจากบทบาทหลุยส์[11] และเขาพูดว่า "เขาโตขึ้น" และชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็น "ได้หายไป" ถึงแม้ว่าการได้ร่วมแสดงจะเป็น "สิ่งที่ดีที่สุด" ที่เกิดขึ้นกับเขา[9] ในช่วงนั้นเลอบัฟจะได้มีงานในสเก็ตช์โชว์ในรายการ The Tonight Show with Jay Leno[24] ต่อมาปี 2003 เขามีผลงานกับดิสนีย์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Holes กับบทบาท สแตนลีย์ "เคฟแมน" เยลแนตส์ ที่ 4 แสดงร่วมกับ ซิกกอร์นีย์ วีเวอร์ , จอน วอยจต์ และ ทิม เบลก เนลสัน ขณะที่ถ่ายทำเรื่อง Holes อยู่ จอน วอยจต์ให้หนังสือเกี่ยวกับการแสดงเขาและเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตระหนักว่าการแสดงมันเป็นอะไรที่มากกว่างาน[8] ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จดีในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส สตีเวน สปีลเบิร์กก็ชื่นชมกับเลอบัฟในผลงานเรื่อง Holes นี้และยังพูดว่า "มันทำให้ฉันนึกถึงทอม แฮงส์ในวัยหนุ่ม"[3]

ในปีเดียวกันนั้นเอง เขามีส่วนร่วมกับสารคดีทางช่องเอชบีโอที่ชื่อรายการ Project Greenlight ที่เป็นเรื่องราวของภาพยนตร์อิสระเรื่อง The Battle of Shaker Heights เขายังปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Charlie's Angels: Full Throttle ในบทแม็กซ์ เพโทรนิ ลูกกำพร้าที่เหล่านางฟ้าได้ช่วยเหลือไว้ นอกเหนือจากบนหน้าจอแล้วเลอบัฟยังช่วยเขียนบทและกำกับใน Let's Love Hate ดราม่าเรื่องสั้นที่ชนะรางวัล Children's Jury Award ในปี 2004 และ Children's Audience Award ในปี 2005[27] เขามีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เรื่อง I, Robot (2004) และปรากฏตัวในภาพยนตร์แอ็คชันสยองขวัญเรื่อง Constantine (2005) แสดงร่วมกับเคียนู รีฟส์และราเชล วีสซ์ และในภาพยนตร์ของดิสนีย์เรื่อง The Greatest Game Ever Played รับบทเป็นฟรานซิส อุยเม็ท ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักกอล์ฟที่ยากจนที่ชนะในยูเอสโอเพนแชมเปียนชิพ ในปี 1913[8] ในปี 2006 เลอบัฟร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Bobby ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเปลือยกายในฉาก เขายังเล่นในบท ดิโต มอนทีลในภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเรื่อง A Guide to Recognizing Your Saints ซึ่งรับบทเดียวกันในช่วงโตโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เลอบัฟพูดว่า เขาไม่ได้เป็น "นักแสดง นายแบบของทางช่องดิสนีย์"[3] และพยายาม "สลัดภาพนักแสดงดิสนีย์ออกให้มากที่สุด"[28] และด้วยอายุของเขา หลังจากบทบาททางช่องดิสนีย์ เขาอธิบายว่า "เป็นที่ที่เยี่ยมและทุกสิ่ง" และ "เป็นสถานที่ที่ฟูมฟักตัวเขา"[24] แต่ "ไม่ได้ฟื้นฟูให้กับการเป็นนักแสดง" เป็น "สิ่งเดิม ๆ ที่เหมือนกัน"[10] เขายังพูดว่า "เขารู้สึกสนุกสนานกับการเป็นนักแสดงเด็กและเขาเกลียดการไปโรงเรียน"[29]

แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จ (2007–2008)

ในปี 2007 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Disturbia ภาพยนตร์เขย่าขวัญที่ออกฉายเมื่อวันที่ 13 เมษายน เขารับบทเป็นวัยรุ่นผู้ต้องหาที่ถูกกักกันในบ้านของเขา ที่สงสัยว่าเพื่อนบ้านของเขา รับบทโดย เดวิด มอร์ส เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมและเขาได้รับคำวิจารณ์ในทางบวก บัฟฟาโลนิวส์ เขียนไว้ว่า "เลอบัฟ นักแสดงหนุ่มที่สามารถดึงความโกรธ ความเสียใจ และความเฉลียวฉลาด ได้ในเวลาเดียวกัน"[30][ลิงก์เสีย] เคิร์ต โลเดอร์ นักเขียนจากเอ็มทีวีเขียนไว้ว่า "หมัดชกสู่หนทางแห่งดวงดาว" [31] และซานฟรานซิสโกโคนิเคิล เขียนไว้ว่า "ก้าวสู่นักแสดงที่ดีที่สุดของฮอลลีวูดได้อย่างรวดเร็ว"[32] และยังได้รับการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง Rear Window โดยนิวยอร์กเดลินิวส์อธิบายไว้ว่า "เขาดูเหมือนจอห์น คูแซ็กมากกว่า จิมมี สจ๊วต"[33] ในปี 2007 นี้เอง เลอบัฟได้ให้เสียงพากย์เป็น โคดี้ มาเวอริก ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Surf's Up และได้รับบทเป็นวัยรุ่นชื่อ แซม วิตวิกกี ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง Transformers ออกฉายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เขาพูดว่าเขาเป็นแฟนของซีรีส์เรื่อง Transformers และภาพยนตร์เรื่อง The Transformers: The Movie ในปี 1986[34] ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ประทับใจในการแสดงของเขาใน Holes

เลอบัฟเป็นพิธีกรให้รายการแซทเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์เมื่อวันที่ 14 เมษายนและ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2008[35] เขายังได้รับการตั้งฉายาว่า "ดวงดาวแห่งวันพรุ่งนี้" จาก ShoWest convention of the National Association of Theater Owners[23] และเดือนกุมภาพันธ์ 2008 เขาได้รับรางวัลบาฟต้า ในฐานะในแสดงดาวรุ่ง ที่เป็นการลงเสียงจากการโหวตของชาวอังกฤษ[36] ที่ประทับใจกับบทบาทการแสดงเรื่อง Transformers[3] เขายังได้เล่นในภาพยนตร์เรื่อง ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว ออกฉายในเดือนพฤษภาคม 2008[37] เลอบัฟเคยพูดว่า "เรื่องต่อๆ ไปของเขาจะรับบทในภาพยนตร์ที่สเกลเล็กลง"[3] เขารับบทในภาพยนตร์เรื่อง Eagle Eye ภาพยนตร์เขย่าขวัญกำกับโดย ดี.เจ. คารูโซ ออกฉายเดือนตุลาคม 2008[38] มีเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่ม (เลอบัฟ) และแม่หม้ายที่ถูกนำตัวมาและบังคับให้ทำตามคำสั่งจากสายโทรศัพท์ไม่ทราบที่มา ภาพยนตร์ออกฉายวันที่ 26 กันยายน เป็นภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้อีกเรื่องของเลอบัฟ ทำรายได้ 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[39] ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ได้ด้านบวกและลบ จอร์ช เบล จากลาสเวกัสวีกลี พูดว่า "เขาได้รับบทหนักในบทฮีโรแอ็กชัน ถึงแม้ว่าในบางครั้งความพยายามที่จะแสดงความลึกของอารมณ์ของเขาก็ไม่ได้ไปไหน"[40] ส่วนในบทวิจารณ์ของพอล เบิร์นส จากซิดนีย์มอร์นิงเฮอรอลด์ สังเกตเห็นความคล้ายคลึงในบทบาทที่เขาเล่นเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องก่อน[41] ในเดือนธันวาคม 2008 เขาหลุดออกจากภาพยนตร์เรื่อง Dark Fields เนื่องจากแขนเขาประสบอุบัติเหตุจากรถชน ที่ต้องรักษาพยาบาลในช่วงเริ่มถ่ายทำ[42][43]

Transformers: Revenge of the Fallen และหลังจากนั้น (2009– 2014)

ในปี ค.ศ. 2009 เลอบัฟได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ คริส "เคจ" พัลโค กำกับมิวสิกวิดีโอ "I Never Knew You" ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 3 ของเคจที่ชื่อ Depart From Me.[44] มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในเขตดาวน์ทาวน์ของลอสแอนเจลิสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร่วมแสดงโดยศิลปินค่ายดิฟินิทีฟจักซ์ อย่าง แอลl-พี, เอซอป ร็อก, แย็ก บอลซ์ และอเล็กซ์ พาร์ดี[44] จาก แอลเอวีกลี พูดถึงวิดีโอนี้ว่า เป็นครั้งแรกของการร่วมงานของเลอบัฟกับเคจ และท้ายสุดผลคือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตแร็ปเปอร์ นำแสดงโดยเลอบัฟ เมื่อถามถึงเกี่ยวกับการกำกับมิวสิกวิดีโอ เลอบัฟตอบว่า "ผมอายุ 22 ผมกำกับมิวสิกวิดีโอเพลงของแร็ปเปอร์ที่ผมชอบ มันดีกว่าการนั่งยูนิคอร์นอีก"[44] วิดีโอออกฉายปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทางช่องเอ็มทีวีทู และเอ็มทีวียู

เลอบัฟกลับมารับบทแซม วิตวิกกีอีกครั้งในภาคต่อ Transformers ในปี 2009 เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen เริ่มถ่ายภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 และถ่ายจบปลายปี 2008[45] และเนื่องจากเลอบัฟบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไมเคิล เบย์และนักเขียนบท โรเบอร์โต ออร์ซี ได้เขียนบทใหม่เพื่อปิดเรื่องแขนเขาตลอดการถ่ายทำ[46] เลอบัฟพูดว่าการถ่ายทำล่าช้าไปเพียง 2 วันหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ เบย์ได้ถ่ายทำฉากที่สองเพิ่ม และเลอบัฟพบว่าไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถกลับมาถ่ายต่อได้[47] จนใกล้จบเรื่อง เลอบัฟก็ตาจบจากที่เขาไปกระแทกกับอุปกรณ์ประกอบฉาก ทำให้เขาต้องเย็บ 7 เข็ม.[48] เขากลับมาถ่ายต่อในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง[48] สำหรับการทำงานนี้ เลอบัฟพูดว่าเขาได้รับค่าจ้างราว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[49] ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำเงิน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[50] แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ในด้านลบ,[51] ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแรซซี ในปี 2009 ในสาขาคู่บนภาพยนตร์ยอดแย่ ไม่กับเมแกน ฟอกซ์ก็ทรานสฟอร์เมอร์[52]

เลอบัฟรับบทเป็น เจค็อป พนักงานยกกระเป๋าในโรงแรมในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง New York, I Love You ภาพยนตร์รวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับการค้นหารักใน 5 เบอโรห์ของนิวยอร์กและภาคต่อของ Paris, je t'aime ภาพยนตร์ออกฉายในเดือนตุลาคม 2009 ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบ[53] ในเดือนกันยายน 2010 เขาแสดงในภาพยนตร์กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps ภาพยนตร์ภาคต่อของ Wall Street (1987) รับบทเป็นเจค็อบ "เจค" มัวร์ หนุ่มไฟแรงที่อยากก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าหุ้น ที่มีความสัมพันธ์กับลูกสาวของกอร์ดอน เกกโก ที่ชื่อวินนี[54] ในความพยายามเข้าถึงบทบาท เขาเลือกที่จะไว้หุ่นแบบผอมไว้ เพราะเรื่องคาดิโอเป็นเรื่องใหญ่ และพวกเขาก็ผอม[55] ภาพยนตร์ฉายปิดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2010[56] เดวิด กริตเทนจาก เดอะเดลีเทเลกราฟ ตั้งข้อสังเกตว่า "เลอบัฟแก่พอที่จะเล่นบทนักธุรกิจหนุ่มที่เฉลียวฉลาดแล้ว และทำได้ดี"[57] เลอบัฟจะแสดงในภาพยนตร์ภาค 3 ของ Transformers ที่คาดว่าจะออกฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2011[58] ในเดือนธันวาคม 2008 เลอบัฟเข้ารับบทเป็น ไคล์ แม็กอะวอย ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง The Associate ของจอห์น กริสแฮม[59] กริชแฮมที่ได้เลือกตัวเลอบัฟกับมือ พูดถึงการแสดงเขาว่า "ผมคิดว่าเขาวิเศษมาก เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถอย่างมาก"[60] ในเดือนธันวาคม 2009 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์ The Promised Land แต่โครงการยกเลิกไปเนื่องจากปัญหาด้านการเงิน[61] เลอบัฟผิดหวังกับผลของโครงการ ทำให้เขาละจากเอเยนต์ที่วิลเลียม มอร์ริส เอนดีวอร์[61] และหลังจากนั้นเขาพยายามทำงานโดยไม่มีเอเยนต์ แต่ในที่สุดเขาก็เซ็นกับเอเยนต์ ครีเอทีฟอาร์ทิสเอเจนซี[61] ในเดือนมกราคม 2010[62]

ใกล้เคียง

ไชอา เลอบัฟ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไชยา มิตรชัย ไดอา ไดอาน่า จงจินตนาการ ไชนาเซาเทิร์นแอร์ไลน์ ไดอารีตุ๊ดซีส์ เดอะซีรีส์ ไนอาซิน ไชยา สะสมทรัพย์ ไชนาอีสเทิร์นแอร์ไลน์

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไชอา เลอบัฟ http://www.news.com.au/heraldsun/story/0,21985,215... http://www.news.com.au/perthnow/story/0,21598,2155... http://www.smh.com.au/news/entertainment/film/film... http://jam.canoe.ca/Movies/Artists/L/LaBeouf_Shia/... http://www.accesshollywood.com/shia-labeouf-talks-... http://www.accesshollywood.com/transformers-direct... http://www.azcentral.com/ent/movies/articles/0413s... http://boxofficemojo.com/movies/?id=eagleeye.htm http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=transforme... http://www.buffalonews.com/197/story/52995.html